22.00 น.
คณะผู้เดินทางพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบินเอมิเรต (EK) เจ้าหน้าที่ วาริต้า ทราวเวล คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวกด้านสัมภาระและบัตรที่นั่งก่อนขึ้นเครื่อง
01.15 น.
ออกเดินทางสู่ คาซาบลังก้า ด้วยเที่ยวบินที่ EK385 / EK751 (0115-0445/0730-1255) แวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต เดินทางด้วยเครื่องบินลำใหญ่ A380 ที่นั่งกว้างสบาย มีจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง พร้อมบริการอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างเทียวบิน นอกจากนี้ระหว่างเปลี่ยนเครื่องท่านจะสามารถพักผ่อนรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินดูไบซึ่งเป็นสนามบินชั้นนำระดับโลก
12.55 น.
เดินทางถึง สนามบินคาซาบลังก้า (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง) หลังผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พร้อมกับรับกระเป๋าสัมภาระ ไกด์ท้องถิ่นและคนขับผู้ชำนาญเส้นทางคอยต้อนรับท่านที่สนามบิน จากนั้นนำท่านเดินทางโดยรถโค้ชปรับการกาศสู่ เมืองราบัต (ระยะทาง 90 ก.ม./1.30 ชม.) เมืองหลวงของราชอาณาจักรโมร็อกโก ระหว่างทางท่านจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามสองข้างทาง โดยเมืองแห่งนี้นั้น เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โมร็อคโค และถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศโมร็อคโค จากนั้นนำท่านชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (Mohammed V Mausoleum) พระอัยการของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนสง่าเฝ้าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183 x 139 เมตร จากนั้นนำท่านไปชม หอคอยฮัสซัน (Hassan Tower) ส่วนหนึ่งของมัสยิดฮัสซันซึ่งได้วางแผนไว้ให้เป็นสุเหร่าที่ใหญ่ อันดับ 2 ของโลก สามารถบรรจุผู้ที่เข้ามาสวดมนต์ได้พร้อมกันคราวละ 40,000 คน (แต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ) สมควรแก่เวลานำท่านชมภายนอก สุเหร่าหลวง และ พระราชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมร็อกโกจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่าเพื่อประกอบศาสนกิจ ได้เวลาอันสมควรนำท่านชมความยิ่งใหญ่ตระการตาของป้อมอูดายา ซึ่งเป็นป้อมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยอาณาจักรของสเปนเมือครั้งยึดครองชายฝั่งด้านตะวันออกของโมร็อคโค โดยป้อมตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติค ถือได้ว่าเป็นป้อมที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของเมืองราบัตและโมร็อคโคเป็นอย่างมาก ผ่านการครอบครองจากหลายอาณาจักร ตัวป้อมสร้างด้วยหินปูนล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่ภายในมีอาคารบ้านเรือน สถานที่สำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมัสยิด สวนดอกไม้ จากนั้นนำท่านชม สวนสาธารณะแอนดาลูเชียน (Andalusian Garden) ซึ่งในอดีตเคยเป็นของฝรั่งเศสถูกตกแต่งด้วยนํ้าพุ ต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ Rabat marriott hotel หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่เมืองแทนเจียร์ ( ระยะทาง 250 ก.ม./4 ช.ม.)เป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโกบนชายฝั่งของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่ในบริเวณช่องแคบยิปรอลต้า ถือได้ว่าเมืองเป็นเมืองหลวงของ ภูมิภาค Tanger-Tetouan-Al Hoceimaและจังหวัด Tangier-Assilahของโมร็อกโก เป็นเมืองยุทธศาสตร์ และศูนย์กลางการค้า ของชาวฟินีเซียน และเป็นศูนย์กลางของหลายวัฒนธรรมผ่านการยึดครองจากหลากหลายอาณาจักร์ ปัจจุบันถือได้ว่า เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งของโมร็อคโค มีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น โครงการท่องเที่ยวริมอ่าว ย่านธุรกิจสมัยใหม่ที่เรียกว่าใจกลางเมืองแทนเจียร์ อาคารผู้โดยสารในสนามบิน และสนามฟุตบอล เศรษฐกิจของแทนเจียร์
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ย่านเมืองเก่าบริเวณแกรนด์ซัคโค จัตุรัสใจกลางเมือง ท่านจะได้ชมบรรยากาศของย่านเมืองเก่าหรือที่เรียกว่ามาดิน่า โดยมีบ้านเรือนอันสวยงามที่ได้รับการอนุรักษณ์ไว้เป็นอย่างดี ตัวเมืองจะตั้งอยู่ระหว่างเนินเขาสองลูกลดหลั่นลงมาคล้ายอัฒจันทร์ทำให้ตัวมีลักษณะทอดตัวลงไปจากเนินเขา มีตรอกซอกซอยต่าง ๆ เชื่อมต่อด้วยบันไดและทางเดินเล็ก ๆ โดยแต่ละตรอกจะมีเอกลักษณ์อันสวยงามของตัวเอง นำท่านลัดเลาะชมความงามของบ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตลอดทาง จากนั้นนำท่านลัดเลาะถนนเลียบชายฝั่งทะเลเพื่อชมความงามของช่องแคบยิปรอลต้า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ ROYAL TULIP หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่เมืองโตเตอวน (ระยะทาง 60 ก.ม. / 1 ช.ม. ) หรือที่รู้จักกันในชื่อTettawen เป็นเมืองทางตอนเหนือโมร็อกโก . ตั้งอยู่ตามแนวหุบเขา Martilและเป็นหนึ่งในสองท่าเรือหลักของโมร็อกโกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างจาก ช่องแคบยิบรอลตาร์ไปทางใต้ไม่กี่ไมล์และประมาณ 60 กิโลเมตร โดยเมืองแห่งนี้มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปี การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกซึ่งค้นพบนอกเขตเมืองสมัยใหม่ไม่กี่ไมล์ เป็นของชาวเบอร์เบอร์ชาวมอเรเตเนียน และมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช หนึ่งศตวรรษต่อมาชาวฟินีเซียนได้เข้ามาอิทธิพล และต่อมาก็กลายเป็นอาณานิคมของโรมัน ภายใต้จักรพรรดิ ออกุส ตุส นั้นเอง จากนั้นนำท่านชมความสวยงามของบ้านเรือนที่มีการทาด้วยสีขาวสร้างขึ้นบนเนินเขาลดหลั่นกันลงมาบริเวณ Fenden Park จุดถ่ายรูปใจกลางเมือง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิวพาโนรามาอันงดงาม จากนั้นมีเวลาให้ท่านได้เดินเล่นในตัวเมืองพร้อมผ่านชมพระราชวังหลวง
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านชมเมือง เชฟชาอูน ( ระยะทาง 65 ก.ม./ 1.30 ช.ม.) เมืองโบราณเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ถูกสร้างขึ้นในปี 1471 ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ในอดีตนั้น เชฟชาอูน ถูกสร้างเพื่อเป็นที่พักผิงให้แก่ผู้อพยพ ชาวมัวร์และชาวยิวที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศสเปน หลังจากนั้นเป็นต้นมาที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของชาวชาวมัวร์และชาวยิว จนในปี 1930 ผู้คนในเมืองช่วยกันทาอาคารบ้านเรือน ทางเดิน ประตู และทุกๆ ที่ในเมืองให้เป็นสีฟ้า ด้วยความเชื่อทางศาสนาที่ว่า สีฟ้า-น้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์และเป็นตัวเทน ของเทพเจ้า เป็นสีของท้องฟ้าและทะเล และยังเพื่อเป็นการระลึกถึงพระเจ้า นอกจากนี้ชาวเมืองยังเชื่อว่า ผนังสีฟ้าสามารถช่วยไล่ยุงได้อีกด้วย เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลางบนภูเขา Rif เมืองนี้จึงถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา มีทิวทัศน์ที่สวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนโมร็อกโก นำท่านชมความสวยงามของอาคารบ้านเรือนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ท่านสามารถเดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ที่มีการทาด้วยสีฟ้า ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็จะเป็นสีฟ้าทั้งเมือง เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ที่ท่านสามารถนั่งเล่นแบบชิล ๆ ได้ตลอดทั้งวัน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ Lina Ryad & Spa หรือเทียบเท่า ***** (โรงแรมตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า)
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่เมืองเมคเนส ( ระยะทาง 194 ก.ม. / 3 ช.ม.) เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศ.ต. ที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ ตัวกำแพงเมืองเมคเนส กำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสดสวยงามเป็นเอกลักษณ์ จากนั้นนำท่านชมร่องรอยความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมันโบราณโวลูบิลิส ซึ่งเป็นโบราณสถานของโรมันที่สร้างตั้งแต่ ค.ศ .583 แต่ได้พังทลายลงมาอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว สถานที่แห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
ออกเดินทางสู่ เมืองเฟส (ระยะทาง 60 ก.ม./ 1 ช.ม.) เมืองหลวงเก่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นเมืองสำคัญทางด้าน ศาสนามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโก ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ ซึ่งเฟส เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และมีเสน่ห์อันแสนสุดประทับใจ นำท่านเที่ยวชมเมืองที่จุดชมวิวบน ป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน ต่อด้วยชม ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟซ (The Royal Palace) ที่มีทหารยามยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างสง่างามประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อกโก บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา (ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
ã พักค้างคืน ณ les merinides FES หรือเทียบเท่า *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเฟส ผ่าน ประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้างปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆ นา ๆ ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 เซ็นติเมตร ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆ ที่หน้าร้าน จะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รส และกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆ อยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆ ในเขตเมืองเก่า บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้า จะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินชมต่อในเมดิน่าแห่งเฟสนำท่านชม ย่านเครื่องหนัง และ บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟสถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ ท่านจะได้ชมกรรมวิธีการฟอกหนังแบบดั้งเดิม โดยไฮไลท์จะอยู่ที่บ่อฟอกหนังที่ใช้กันต่อมานับพันปี มีลักษณะก่อด้วยหินปูนและโดยในสมัยโบราณจะเคลือบด้วยยางไม้เพื่อไม่ให้น้ำยาที่ใช้แช่หนังนั้นรั่วออกมา ซึ่งจะมีกลิ่นค่อนข้างแรมมาก ได้เวลาอันสมควรอิสระให้ท่านได้ ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น และผลไม้แห้ง เช่น อินทผาลัม วอลนัท อัลมอนด์ ที่คุณภาพดีและราคาย่อมเยา
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ les merinides FES หรือเทียบเท่า *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน ( ระยะทาง 65 ก.ม. / 1 ช.ม.) เมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า เจนีวาแห่งโมร็อกโก หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมร็อกโก” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นชมเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมร็อกโก ถ่ายรูปกับ อนุสรณ์สิงโตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้ จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่เมือง มิเดลท์ (ระยะทาง 136 ก.ม. / 2.30 ช.ม.)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
ออกเดินทางข้ามเขามิเดลท์ (Middle Atlas) ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ บางช่วงต้นไม้พุ่มเตี้ยแปลกตา สวนต้นสนซีดาร์ ผ่านเส้นทางความสูง 3,090 เมตร ปกคลุมด้วยหิมะ และต้นสนขนาดใหญ่ เดินทางผ่าน เมืองราชิดิยา (RACHIDIA) เมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งมีระยะทางห่างจากพรมแดนระหว่างโมร็อคโค และแอลจีเรีย เพียง 25 กม. สู่ เมืองเออร์ฟูด (ระยะทาง 200ก.ม./3.30 ช.ม.) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดาน บนเส้นทางผ่านข้ามเขตแห้งแล้งแต่มีโอเอซิสที่หุบเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม จากนั้นนำท่านออกเดินทางโดย รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (4×4) พร้อมกระเป๋าสัมภาระ (ใบเล็ก) เข้าสู่ เมอร์ซูก้า (Merzouga) เมืองในทะเลทรายซาฮาร่า ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลของหอยและแมงกะพรุนโบราณ ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย ชมความสวยงามของทะเลทรายในยามพระอาทิตย์อัสดง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารภายในที่พัก
พักค้างคืน LUXRY CAMP เพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืนของทะเลทรายซาฮาร่าและชมดวงดาวของทางช้างเผือกบนท้องฟ้าที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดจน
เช้าตรู่
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนำท่าน ขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกั นอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ สมควรแก่เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้อง อาหารของโรงแรม
นำคณะนั่งรถ ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4×4) ออกจากทะเลทรายซาฮาร่ามุ่งหน้าสู่ เมืองเออร์ฟูด์ (Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชคันเดิม จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองทินเฮียร์ (Tinguir) แวะชม โอเอซิสทินเฮียร์ ซึ่งเป็นชุมชนที่ เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำหรือลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท ผ่านหุ บเขาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม จากนั้นเดินทางสู่ทอดร้ากอร์จ (ระยะทาง 142 ก.ม. / 2.30 ช.ม.) โกรกธารที่มีโขดผาสูง 985
ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำโทดร้า ถือว่าเป็นโกรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมร็อกโก ชมความงดงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส โดยมี ลำน้ำใส ๆ ที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเสี่ยงภัย
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
เดินทางสู่ เมืองวอซาเซท (ระยะทาง 173 ก.ม./3 ช.ม.) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ (พฤศจิกายน-เมษายน) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซทอาจกล่าว ได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักค้างคืน ksar ighanda หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม ป้อมทาเริท Kasbah Taourirt เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่าง ๆ จำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน พระราชวังของตระกูลกลาวี Glaoui Palace ผู้ปกครองมาราเกซ ซึ่งยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในยุคของตระกูล Glaoui ที่นี่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ซึ่งองค์การยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด จากนั้นนำท่านเดินทางแวะชมโรงถ่ายภาพยนตร์แอตลาสสตูดิโอ (ATLAS STUDIO) ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโมรอคโค บนพื้นที่กลางทะเลทรายกว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 โดย Mohamed Belghmi แต่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เคยถ่ายทำที่นี่กลับเป็นเรื่อง Lawrence of Arabia ในปี ค.ศ.1962 ของผู้กำกับ David Lean แต่หลังจากตั้งเป็นสตูดิโอจริงๆ จังๆ แล้วภาพยนตร์ Hollywood ฟอร์มยักษ์มากมายก็เคยมาถ่ายทำที่นี่ด้วย อย่างเช่น The Mummy, Star Wars, Gladiator, Babel หรือแม้แต่หนังฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดอย่าง Batman Vs. Superman: Dawn of Justice ด้วย
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
จากนั้นออกเดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู (AIT BEN HADDOU) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมาราเกช เส้นทางข้ามเทือกเขาไฮแอทลาส ทางคดเคี้ยวกับภูเขาสลับซับซ้อนสลับกับทุ่งเกษตรแบบขั้นบันได ให้ท่านเพลินตากับสีสัน วิถีชีวิตของคนท้องถิ่น นำท่านชม เมืองเอ็ทเบน ฮาดดู เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมร็อคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Haddou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก ได้เวลาอันสมควร คณะออกเดินทางสู่ เมืองมาราเกช (ระยะทาง 193 ก.ม./ 4 ช.ม.) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ตั้งอยู่แถบเชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งจึงได้สมญานามว่าเป็น A City of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ Palm plaza Hotel ,MARRAKECH *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมสวนจาร์ดีน มาจอแรล Jardin Majorelle Garden หรือ สวนอีฟแซงท์ ลอเร้นท์ Yves Saint Laurent Gardens สวนทรอปิคอลซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบแฟชั่นชื่อดัง Yves St. Laurent แห่งปารีส ฝรั่งเศส ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้า และสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม จากนั้นนำท่านเดินทางไปเยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านจากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับ มัสยิดคูตูเบีย (Koutobia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้จากหอคอยที่มีความสูง 226 ฟุต จากนั้นนำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง (Djema El Fnaa Square) ที่มีขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยอาคารนำท่านเดินชมแกรนด์บาร์ซาแหล่งค้าขายที่คึกคักที่สุดของเมืองมาราเกซมี ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสัน และกลิ่นอายแบบโมร็อกโกขนานแท้ อิสระให้ท่านได้จับจ่ายหาซื้อของฝาก และของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร กับมื้อสุดพิเศษ ที่ Fantasia dinner show บริการท่านด้วยอาหารค่ำเลิศรสพร้อมกับสัมผัสกับความตื่นตาตื่นใจจากการแสดงโชว์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้คนที่อาศัยอยุ่ในดินแดนแห่งทะเลทราย พร้อมกับ
พักค้างคืน ณ PALM PLAZA HOTEL ,MARRAKECH หรือเทียบเท่า ****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางขึ้นเหนือสู่เมือง แอลฌาดีดา (ระยะทาง 233 ก.ม./ 4 ช.ม. ) เป็นเมืองท่าบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ของประเทศโมร็อกโก ในจังหวัดแอลฌาดีดา แต่เดิมชื่อ มาซากัน (Mazagan) ซึ่งเป็นชื่อในภาษาโปรตุเกตุ ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1502 โดยภายใต้การปกครองของโปรตุเกส จากนั้นนำท่านชมป้อมปราการขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ในส่วนของกำแพงของ เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ที่มีต้นกำเนิดจากโปรตุเกสในโลกเมืองป้อมปราการแห่งโปรตุเกสแห่งมาซากัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2547 ภายในป้อมยังมีห้องกึ่งใต้ดินมีพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสประมาณ 33 ถึง 34 เมตร (108 ถึง 112 ฟุต) ต่อด้าน สร้างขึ้นด้วยเสาและเสาหินห้าแถวจากห้าเสา ห้อง นี้สร้างขึ้นใน สไตล์ โกธิก ตอนปลาย ที่เรียกว่ามานูเอลีนโดยมี เพดาน โค้งที่ทำด้วยอิฐก่อและซี่โครง หิน แบบดั้งเดิม ซึงเคยใช้เป็นคลังอาวุธ ค่ายทหาร หรือยุ้งฉางและต่อมาได้ถูกดัดแปลงเป็นถังน้ำในปี 1541 นั้นเอง จากนั้นนำท่านเดินเล่นชมบรรยากาศของเมืองเก่า เลือกซื้อของฝากของที่ระลึกตามอัธยาศัย
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร..เมนูพิเศษกับอาหารซีฟู๊ดแบบท้องถิ่น
บ่าย
ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังก้า (ระยะทาง 108 ก.ม./ 1.30 ชม.) คาซาบลังก้า หมายถึง บ้านสีขาว เมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca ออกฉายในปี ค.ศ.1942 (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราว ความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมร็อกโกที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ 5 ล้านคน จากนั้นนำท่านสู่ห้างสรรพสินค้าโมร็อกโก Morocco Mall เป็นห้างสรรพสินค้า ที่ใหญ่ที่สุด ในแอฟริกาด้วยพื้นที่ 590,000 ตารางเมตรในคาซาบลังกาประเทศโมร็อกโกห้างสรรพสินค้าโมร็อกโก ซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Davide Padoa จากDesign Internationalซึ่งเป็นร้านบูติกด้านสถาปัตยกรรมระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ในลอนดอน ภายในมี อควาดรีม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ 1,000,000 ลิตร ซึ่งมีปลามากกว่า 40 สายพันธุ์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนี้มีชื่อว่า “อควาดรีม” และได้รับการออกแบบและสร้างโดย International Concept Management
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร หลังมื้ออาหารนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ Marriott Hotel casablanca *****
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็น สุเหร่าที่สวยงาม สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1993 เนื่องในวาระเฉลิมพระชนม์ครบ 60 พรรษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่มาก มีหอคอยสูงถึง 210 เมตร เป็นศิลปะสไตล์โมร็อกโก ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส มิเชล แปงโช และจัดเป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในคาซาบลังก้า และใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสุเหร่าที่เมืองเมกกะและเมดิน่า ชม โบถส์ชาวยิว (The Church of our ladies of Lourdes) ภายในมีภาพกระจกสีสวยงามแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับศาสนา ต่อด้วย จัตุรัสสหประชาชาติ ซึ่งเป็นใจกลางเมืองย่านธุรกิจที่สำคัญของเมืองคาซาบลังก้า ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางสู่สนามบิน
14.55 น.
เหินฟ้ากลับ กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินที่ EK 752 / EK 384 ( 1455-0115/0250-1215 ) แวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต ä บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน
12.20 น.
เดินทางกลับถึง สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยประทับมิรู้ลืม